จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันศุกร์ที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2553

โฮจิมินห์ ใน แผ่นดินไทย

ประธานโฮจิมินห์ PRESIDENT HO CHI MINH เกิดวันที่ 19/5/1890 ที่ บ้านฮองตรู จังหวัดเหงะอาน (Nghe An) ทางตอนเหนือของเวียดนาม เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2433
โฮจิมินห์กับนายปรีดี พนมยงค์
เมื่อครั้งที่เวียดนามประสบปัญหาการรุกรานจากฝรั่งเศส ชาวเวียดนามมากมายได้ได้อพยพหนีมาพึ่งใบบุญเพื่อนบ้านคือไทย เรา โดยเฉพาะในจังหวัดที่มีพื้นที่ติดต่อกับแม่น้ำโขง เช่น สกลนคร หนองคาย นครพนม มุกดาหาร อำนาจเจริญ และอุบลราชธานี 
                เมื่อเดือน มิ.ย. 2471 โฮจิมินห์ ได้รับมอบหมายจากองค์กรคอมมิวนิสต์สากล ให้ปฏิบัติภารกิจในอินโดจีน จึงได้เดินทางจากเยอรมัน เข้าสู่ประเทศไทย เมื่อเดือน กรกฎาคม 2471ใช้ชื่อว่า เหงียน อ๋าย ก๊วก (เหงียนผู้รักชาติ)โดยสถานที่แรกที่เข้ามาเคลื่อนไหว คือ บ้านหัวดง อำเภอเมือง จังหวัดพิจิตร โดยเริ่มทำการติดต่อประสานงานกับชาวเวียดนามอพยพ ที่ได้มาทำมาหากินอยู่ที่บ้านหัวดงแห่งนี้ ประมาณ 20 ครอบครัว บางคนที่นี่ เคยเป็นทหารของ ฟาน ดิ่งฟุ่ง (ผู้นำกู้ชาติเวียดนามยุคก่อนโฮจิมินห์) ซึ่งน่าเสียดายที่ในปัจจุบันหลักฐานเอกสารต่าง ๆ ได้สูญหายไปหมดแล้ว บุคคลต่าง ๆ ที่เคยได้ร่วมภารกิจกับท่าน ต่างก็ล้มหายตายจากไปหมด บุคคลที่เป็นบุตรหลานของท่านเหล่านั้นก็ได้กลายเป็นคนไทยที่สมบูรณ์ไปหมดแล้ว
บ้านพักของโฮจิมินห์ ที่จังหวัดอุดรธานี
โต๊ะทำงานภายในห้องพัก
               เมื่ออยู่ที่บ้านหัวดงได้ระยะหนึ่ง  เหงียน อ๋าย ก๊วก และคณะ ได้เดินทางสู่แผ่นดินอีสาน เข้าสู่จังหวัดอุดร เพื่อ ชี้นำสาขาจัดตั้งของสมาคมสหายเยาวชนปฏิวัติ ซึ่งท่านได้ใช้ชื่อเพิ่มอีกชื่อหนึ่งว่า ทอ (Thä) จังหวัดอุดรธานีอยู่ในภาคอีสานของสยาม มีชาวเวียดนามอาศัยทำมาหากินเป็นจำนวนมากเป็นจุดที่สะดวกต่อการติดต่อประสานงานกับจังหวัดต่างๆไปถึง ณ ที่ใดงานแรกที่ท่านลงมือทำคือจัดตั้งแนวร่วม และกลุ่มต่างๆ เพื่อเป็นฐานในภารกิจกู้ชาติพร้อมกับติดตามข่าวสาร ให้การศึกษาแก่มวลชนชาวเวียดนาม ผู้คนมักเรียกท่านว่า เฒ่าจิ๋น ท่านอาศัยอยู่กับครอบครัวของเฒ่า แมด-ด๋าย สหายจัดตั้งที่บ้านหนองบัว หนองเหล็ก  ใกล้ๆ กับสถานีรถไฟอุดรธานี ซึ่งในปัจจุบันอยู่ในเขตเทศบาลนครอุดรธานี ชุมชนบริเวณนี้มีชาวเวียดนามอพยพอาศัยอยู่ราว 20-30 ครอบครัว ส่วนมากทำการเพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์ ต่อมา เฒ่าจิ๋น ได้เปลี่ยนสถานที่พักใหม่ ย้ายไปที่หมู่บ้านหนองโอน  ต.เชียงพิณ โดยอาศัยอยู่กับครอบครัวของสหายที่ชื่อ "เฒ่าแงว็ก" ซึ่งได้ถึงแก่กรรมแล้ว 
การมาพักที่บ้านหนองโอนแห่งนี้ เฒ่าจิ๋นมีความมุ่งมั่นที่จะรวบรวมชาวเวียดนามพลัดถิ่นเข้าร่วมขบวนการ ต่อสู้เพื่อกอบกู้เอกราชจากฝรั่งเศส ทั้งนี้เฒ่าจิ๋นพักอยู่กับเฒ่าแงว็กนานราว 2 เดือนซึ่งในปัจจุบันนี้ ทางจังหวัดอุดรธานี ได้จำลองบ้านของท่านขึ้นมาใหม่ในที่ดินผืนเดิม โดยใช้ชื่อว่า ศูนย์พัฒนา แหล่งศึกษาและท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์โฮจิมินห์ โดยได้รับทุนสนับสนุนจาก กลุ่มทุนในเวียดนามและการบริจาคจากชาวไทยเชื้อสายเวียดนามในอุดร ช่วงเวลาที่อยู่ที่นี่ ท่านปลูกบ้านใกล้ๆบ้าน องแงว็ก ทำสวน ปลูกผัก เลี้ยงไก่ เลี้ยงหมู อบรมเรื่องชาตินิยมและฝึกอาวุธให้กับผู้ติดตามและชาวเวียดนาม มีครั้งหนึ่งที่ท่านพาคนเวียดนามไปช่วยงานก่อสร้างที่วัดโพธิสมภรณ์และวัดบ้านจิก
                   ในต้นปี 2474 ท่านได้เดินทางไปทำภารกิจต่อที่จังหวัดสกลนครและนครพนม ตามลำดับ โดยได้อาศัยอยู่ที่บ้านนาจอก ตำบลหนองญาติ อำเภอเมือง จังหวัดนครพนม ซึ่งได้ใช้เป็นสถานที่ในการติดต่อ ประสานงานวางแผน และเคลื่อนไหวเพื่อปลดปล่อยเอกราชของเวียดนาม ในปัจจุบันบ้านหลังนี้อยู่ในความดูแลของมหาวิทยาลัยมหาสารคาม วิทยาเขตนครพนม และ องค์การบริหารส่วนตำบลหนองญาติ  ในปี พ.ศ. 2474 ท่านได้เดินทางกลับประเทศเวียดนามเพื่อดำเนินการเรียกร้องเอกราชจนกระทั่ง สามารถนำการปลดปล่อยมาสู่ประเทศเวียดนามได้สำเร็จเมื่อวันที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2488 ต่อมาท่านได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดี เมื่อวันที่ 2 มีนาคม พ.ศ.  2489  
จนถึงแก่อสัญกรรมในปี พ.ศ. 2512 ท่านได้รับการยกย่องให้เป็นวีรบุรุษและบิดาของประเทศเวียดนามจนกระทั่งถึงปัจจุบัน ดังนั้นสถานที่ต่าง ๆ ที่ท่านเคยใช่เป็นที่พักและดำเนินงานล้วนแล้วแต่สำคัญต่อชาวเวียดนามทั้งสิ้น คนไทยเราเองคนทำการศึกษาและอนุรักษ์ไว้เพื่อเป็นประโยชน์ในการท่องเที่ยวและเป็นบันทึกประวัติศาสตร์ร่วมกันของสองประเทศไว้สืบไป


วันจันทร์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ช่องสามหมอ กับลักษณะทางธรณีวิทยา

                  ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติทางด้านภูมิศาสตร์ในลักษณะต่าง ๆ นั้น ได้ส่งผลกระทบต่อลักษณะของการดำรงชีวิตของมนุษย์ในแง่ต่างๆเป็นอย่างมาก ดังนั้นการศึกษาเกี่ยวกับลักษณะทางภูมิศาสตร์ต่างๆ ของโลกนอกจากจะทำให้เราทราบถึงปรากฏการณ์หรือกระบวนการที่ทำให้เกิดสิ่งนั้นขึ้นมาแล้วยังทำให้เราทราบถึงปัจจัยที่มีผลต่อลักษณะการดำรงชีวิตของผู้คนในบริเวณนั้นอีกด้วย
ภาพถ่ายดาวเทียม  ช่องสามหมอ ภูเขาลูกขวามือคือภูผาแดง ส่วนด้านซ้ายคือภูโค้ง
                  ช่องสามหมอ เป็นช่องเขาที่อยู่ระหว่างภูเขาสองลูกคือ ภูผาแดง ทางด้านทิศตะวันออก และ ภูโค้งทางด้านทิศตะวันตก โดยช่องเขานี้ใช้เป็นจุดแบ่งเขตการปกครอง 3 อำเภอด้วยกัน คือ ด้านทิศเหนือ ติด อ.แก้งคร้อ จ.ชัยภูมิ ทิศใต้อำเภอคอนสวรรค์ จ.ชัยภูมิ และทิศตะวันออก อ.โคกโพธิ์ชัย จ.ขอนแก่น  ลักษณะทั่วไป เป็นช่องเขาขาดที่มีลำน้ำไหลผ่าน อย่างที่เรียกว่า กิ่วน้ำ (water gap)  ลำน้ำนั้นคือ ห้วยสามหมอ โดยจะไหลตัดกับแนวทิวเขาดังกล่าว เกือบเป็นมุมฉาก
               ในอดีตนั้น พื้นผิวภาคอีสานได้เกิดการเคลื่อนไหวทั้งการยกตัว จมตัว และการแทรกดันของหินอัคนีในช่วงธรณีกาลต่าง ๆ โดยเฉพาะตอนปลายมหายุคพาลีโอโซอิก ยุคไทรแอสสิก และปลายยุคเทอร์เชียรี และจากการเคลื่อนตัวชนกันระหว่างธรณีภูมิฉาน ไทย มาเลย์ กับธรณีภูมิจุลทวีปอินโดจีน ทำให้เกิดลักษณะโครงสร้างทางธรณีวิทยาหลายลักษณะขึ้นในภาคอีสาน โดยส่วนใหญ่จะเป็นรอยคดโค้ง (Fold) ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ รอยคดโค้งรูปประทุนคว่ำแก้งคร้อ ( Keangkhlo Anticline) ซึ่งในเวลาต่อมา รอยคดโค้งนี้ได้เกิดกษัยการจากปัจจัยต่างๆ โดยเฉพาะลำน้ำ เช่น ลำน้ำพรมและลำน้ำเชิญ เป็นต้น กัดเซาะ ลดระดับลงจนกลายเป็นที่ราบสูงระหว่างภูเขาที่เรียกว่าที่ราบสูงแก้งคร้อ ตัวที่ราบสูงนี้จะล้อมรอบด้วยภูเขาซึ่งจะเป็นเชิงเนินเขาด้านข้าง(Limbs) ของแนวคดโค้งเดิมนั่นเอง ได้แก่ ภูเม็ง ภูผาแดง ภูผาดำ ทางด้านทิศตะวันออก ภูโค้ง ภูคงคก ทางด้านใต้ ภูคี ภูหยวก ทางด้านตะวันตก  ส่วนทางเหนือจะลาดเทลงสู่ลุ่มแม่น้ำพรม ระดับความสูงเฉลี่ย 236 เมตร จากระดับน้ำทะเล  สำหรับขั้นตอนการเกิดขึ้นของช่องสามหมอ มีสิ่งที่เกี่ยวข้องอยู่สองส่วนคือโครงสร้างทางธรณีวิทยาและการกระทำของน้ำ
ลักษณะการเกิดของ Antecedent stream
                       ในส่วนของโครงสร้างทางธรณีวิทยาของช่องสามหมอนั้นมีภูเขาที่เกี่ยวข้องโดยตรงอยู่สองลูกคือ ภูโค้ง และภูผาแดง ซึ่งภูเขาทั้งสองลูกนี้เป็นภูเขาหินทราย ชุดโคราช  ซึ่งหน่วยหินที่เห็นเด่นชัดในบริเวณนี้คือ หน่วยหินโคกกรวด และหน่วยหินภูพาน ซึ่งมีคุณสมบัติความทนทานต่อการกัดกร่อนแตกต่างกัน หน่วยหินโคกกรวดที่ทนทานต่อกษัยการต่าง ๆ ได้น้อยกว่าได้ผุพังลงไปก่อน ปรากฏให้เห็นเป็นแนวหินราง ๆ ทอดตัวยาวถัดจากแนวภูผาแดง ภูโค้งมาด้านใต้ประมาณ 3 กิโลเมตร ขนานกับแนวเทือกเขาทั้งสองลูก ส่วนหน่วยหินภูพาน ที่คงทนต่อการพังทลาย ผุพังสูงกว่า จึงเห็นเป็นแนวทิวเขาภูผาแดง ภูโค้ง   นั่นเอง
                       สิ่งที่เกี่ยวข้องอีกประการหนึ่งคือ การกระทำของลำน้ำ ซึ่งนั้นก็คือ ลำห้วยสามหมอ
ซึ่งเป็นลำห้วยสาขาทางฝั่งซ้ายของแม่น้ำชี ซึ่งเป็นลำน้ำที่กัดเซาะสันเขา จนทำให้เกิดช่องสามหมอนี้ขึ้น ลักษณะของลำน้ำสายนี้จะเป็นลำน้ำบรรพกาล ( Antecedent stream) ที่วางตัวอยู่ในพื้นที่นี้มาก่อนแล้ว เมือเกิดการยกตัวของแผ่นดินขี้น  ลำห้วยนี้ก็จะกัดเซาะ ไปพร้อมๆ กับการยกตัว มื่อเวลาผ่านไปหลายล้าน ปี จึงมีรูปร่างลักษณะที่เห็นดังเช่นปัจจุบัน

วันพุธที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2553

การตรวจสอบอายุด้วยคาร์บอน-14 กับแหล่งโบราณคดีทุ่งผีโพน

             การกำหนดอายุหรือการหาอายุทางวิทยาศาสตร์ที่นิยมกันมากในปัจจุบัน คือ  วิธีการ  เรดิโอคาร์บอน หรือ คาร์บอน-14 การหาอายุด้วยวิธีการนี้เหมาะสำหรับการใช้ศึกษาหลักฐานที่เป็นอินทรียวัตถุที่พบอยู่ร่วมกับวัตถุที่คนในอดีตทำขึ้นเท่าที่นิยมใช้กันอยู่ก็มีไม้ กระดูก หรือ ถ่าน เป็นต้น  โดยวัด แสงกัมมันตภาพของคาร์บอนที่ยังคงหลงเหลืออยู่ในอินทรียวัตถุ  ทำให้สามารถทราบอายุของสิ่งเหล่านั้น  เช่นทราบว่ามนุษย์หรือสัตว์ตายมานานเท่าไร  ต้นไม้ถูกนำมาใช้งานตั้งแต่เมื่อไร เป็นต้น
                   คาร์บอน 14   (C 14 )   ค้นพบเมื่อปี  พ.ศ. 2483   โดยพบจากผลของการค้นคว้าวิจัยทางด้านปรมณู Institute of Nuclear Studies  มหาวิทยาลัยชิคาโก ผู้ที่ค้นพบคือ  Dr. Willard F. Libby 
หลักการในการกำหนดอายุโดยการหาปริมาณคาร์บอน 14 คือ เมื่อรังสี (Cosmic Radiation)  ซึ่งเป็นตัวผลิตนิวตรอน ผ่านเข้ามาในบรรยากาศของโลก จึงทำปฏิกิริยากับอะตอมของไนโตรเจน (N-14) ก่อให้เกิดอะตอมของคาร์บอน (C-14) ซึ่งเป็นกัมมันตภาพรังสี  (Radioactive) ดังนี้
                                               N14 + n   =   C14+ H
                  เมื่ออะตอมของคาร์บอน(C-14)   เกินในบรรยากาศรอบ ๆ โลก  ก็จะรวมตัวกับออกซิเจนที่มีอยู่ในบรรยากาศ กลายเป็นคารบอนไดออกไซด์  (CO 2) ปนอยู่ในบรรยากาศรอบโลก   เมื่อเป็นเช่นนี้พืชซึ่งต้องใช้คาร์บอนไดออกไซด์ในการหายใจก็จะรับเอาคาร์บอน-14 เข้าไปด้วย  และซึมเข้าไปอยู่ในส่วนต่าง ๆ ของพืช  สัตว์ที่กินพืชก็จะรับเอาปริมาณของคาร์บอน-14  เข้าไป  ส่วนมนุษย์ซึ่งกินทั้งสัตว์และพืชก็จะรับเอาปริมาณของคาร์บอน-14 จากการกินสิ่งเหล่านั้น
                ดังนั้นไม่ว่าพืช สัตว์ และมนุษย์จะมีคาร์บอน-14 สะสมอยู่ในส่วนต่าง ๆ ของร่างกายทั้งสิ้น และจะเริ่มสะสมไปเรื่อย ๆ ตลอดเวลาที่มีชีวิตอยู่ เมื่อสิ่งมีชีวิตตายลงก็จะหยุดรับคาร์บอน-14 ปริมาณของคาร์บอน-14 ที่สะสมอยู่จะค่อย ๆ ลดลงในอัตราส่วนที่สม่ำเสมอทุก ๆ 5,568 ปี  
  กล่าวคือคาร์บอน-14 ที่สะสมอยู่ในซากอินทรียวัตถุที่ตายแล้วจะลดลงครึ่งหนึ่ง คือเหลือเพียง 1/2 ส่วนเมื่อเวลาผ่านไป 5,568 ปี และเมื่อเวลาผ่านไปอีก 5,568 ปี คาร์บอน-14 ที่เหลืออยู่ 1/2 ส่วนนี้จะลดลงไปอีกครั้งหนึ่ง (คือ 1/2 ของ 1/2)  จะเหลือเพียง 1/4 ส่วน  เวลาต่อไปอีก 5,568  ปี  คาร์บอน-14 จะลดลงไปอีกครึ่งหนึ่งของที่เหลือ  (คือ 1/2 ของ 1/4)  จะเหลืออีกเพียง  1/8  ส่วนเช่นนี้เป็นต้น ระยะเวลา 5,568 ปีที่คาร์บอน-14 ลดลงครึ่งหนึ่งนี้เรียกว่าครึ่งชีวิต  (Half - Life)
                       จำนวนรังสีที่อินทรีย์วัตถุแผ่ออกมานี้สามารถวัดปริมาตรด้วยเครื่องมือที่เรียกว่า Geiger counter  จำนวนรังสีเบตา  จะปรากฏที่หน้าปัด  และนำไปคำนวณหาอายุของอินทรีย์วัตถุนั้นได้ สำหรับระยะเวลาของครึ่งชีวิต  แต่เดิม  Dr.Libby ได้กำหนดว่าครึ่งชีวิตมีระยะเวลา  5,568 ± 80 ปี  คืออาจจะมากกว่า 5,568 ปีอยู่ 80 ปี หรืออาจจะน้อยกว่า 5,568 ปีอยู่ 80 ปี ก่อนปัจจุบัน พ.ศ.2504 กรมวิทยาศาสตร์  สหรัฐอเมริกา  ได้ประกาศว่า ครึ่งชีวิตของคาร์บอน-14  ควรเป็น 5,760 ปี พ.ศ.2505  มีการประชุม 5 th Radiocarbon Dating Conference  ขึ้นที่  Cambridge  กำหนดให้ครึ่งชีวิตของคาร์บอน-14 มีค่า 5,573 ± 30 ปี สำหรับในปัจจุบันกำหนดระยะเวลาครึ่งชีวิตเท่ากับ 5,730 + 40 ปี 
อย่างไรก็ตาม    การดำเนินการหาอายุโดยการตรวจหาปริมาณคาร์บอน-14 เป็นเรื่องที่ต้องระมัดระวังขั้นตอนต่าง    มาก  โดยเริ่มต้นตั้งแต่การเก็บตัวอย่าง ต้องระวังไม่ให้มีสารอื่นแปลกปลอม เข้าไปซึ่งจะทำให้การตรวจหาอายุผิดพลาดไปมาก เช่น ถ้ามีคาร์บอนใหม่ ๆ  เข้าไปรวมอยู่ในสิ่งซึ่งเป็นตัวอย่างเดิมเพียง  1 เปอร์เซ็นต์จะทำให้ radioactivity   เพิ่มขึ้น  2 เปอร์เซ็นต์  เมื่อนำไปตรวจสอบจะทำให้การคาดคะเนอายุผิดพลาดไป  3 เปอร์เซ็นต์ เป็นต้น  จึงได้มีการปรับปรุงการเก็บตัวอย่างและการทำความสะอาดเสียใหม่ โดยล้างด้วยกรดเข้มข้นหรือด่าง
เนินดินทุ่งผีโพน
                         แหล่งโบราณคดีทุ่งผีโพน  อยู่ริมถนน นิเวศรัตน์ สาย 202 หลักกิโลเมตรที่ 60  ระหว่างอำเภอบัวใหญ่ – อำเภอสีดา มีลักษณะเป็นกลุ่มเนินดิน 3  เนิน เห็นชัดเจนอยู่บนทุ่งราบ ซึ่งมีลักษณะเป็นดินเค็มจัด ตามผิวดินจะมีคราบเกลือจับอยู่ทั่วไป ไม่สามารถทำการเพาะปลูกได้ หรือ ได้ผลไม่ค่อยดีนัก จึงถูกทิ้งให้โล่ง
                         ทุ่งผีโพนเป็นแหล่งผลิตเกลือโบราณซึ่งศาสตราจารย์อิจินิต้าแห่งแผนกวิชาโบราณคดีคณะศิลปศาสตร์มหาวิทยาลัยคาโกจิมาประเทศญี่ปุ่นได้ดำเนินการสำรวจขุดค้นในพ.ศ.2534  พบหลักฐานทางโบราณคดีเกี่ยวกับการผลิตเกลือเป็นจำนวนมาก

ภาชนะ แบบพิมายดำ
เช่น  
    1. เศษภาชนะดินเผาสมัยก่อนประวัติศาสตร์แบบพิมายดำ(ที่ตั้งชื่อว่าภาชนะแบบ "พิมายดำ"ก็เพราะว่าพบภาชนะดินเผาลักษณะแบบนี้เป็นครั้งแรกของประเทศไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ในพื้นที่ประเทศไทยที่เขต อ.พิมาย จ.นครราชสีมา จากการขุดค้นของโครงการโบราณคดีกู้ภัย(Salvage Archaeology) เมื่อประมาณ 30 ปีเศษที่ผ่านมาภายใต้การทำงานร่วมกันระหว่างประเทศไทยและอเมริกาโดยทีมงานของ Prof. Wilhem G. Solheim จาก Dept. of Anthropology , the University of Hawai)
นอกจากนั้นยังพบหม้อก้นกลมบรรจุเกลือ,ชามก้นกลมประดับลายเชือกทาบที่ขึ้นรูปด้วยแป้นหมุน หรือด้วยมือ ปากกว้างประมาณ ๒๐ - ๓๐ เซนติเมตรสูง๑๕เซนติเมตร
     2.อุปกรณ์การผลิตเกลือโบราณที่ทำจากดินเหนียวประกอบด้วยถังบรรจุน้ำเกลือ ซึ่งก่อสร้างติดกันเป็นจำนวน ๒-๓ ถังถังกรองน้ำ เกลือเตาต้มเกลือหม้อใส่เกลือเตาหุงต้มอาหารและ หลุมเสาไม้สำหรับทำที่พักของผู้ผลิตเกลือ
     3.กระดูกสัตว์ประเภทต่างๆเช่นวัวควายหอยซึ่งอาจใช้เป็นอาหารของผู้ผลิตเกลือ
     4.จำแนกชั้นดินทางโบราณคดีได้เป็น๑๐ชั้นดินด้วยกันโดยชั้นที่ ๑๐ ซึ่งเป็นชั้นดินที่ลึกที่สุดนั้นจะพบร่องรอยการผลิตเกลือส่วนชั้นดินต่างๆถัดมามักจะเป็นชั้นดินถม   ทุ่งผีโพนนี้เป็นหลักฐานทางโบราณคดีที่ทำให้เห็นว่าเป็นแหล่งผลิตเกลือที่สำคัญของมนุษย์สมัยโบราณแห่งหนึ่งของภาค
อีสานเป็นสินค้าส่งออกไปยังถิ่นอื่นที่ห่างไกล
ที่เห็นขาวๆ คือเกลือล้วนๆเลยนะครับ


ศาสตราจารย์อิจินิต้า ได้นำวัตถุตัวอย่างไปตรวจสอบหาอายุ ด้วยวิธีการเรดิโอคาร์บอน นี้ที่ สมาคมเรดิโอโซโทปแห่งประเทศญี่ปุ่น (Japan Radioisotope Association) โดยคิดค่าครึ่งชีวิต 5,760 ปี และได้อายุดังนี้ คือ   ตัวอย่างที่ N-6308 ผลที่ได้คืออายุ 1790  ± 190 (ปีมาแล้ว) แสดงให้เห็นว่า แหล่งโบราณคดีทุ่งผีโพนนี้ เป็นชุมชนผลิตเกลือที่มีความเก่าแก่มาก ใกล้เคียงกับแหล่งโบราณคดีบ้านปราสาท แหล่งโบราณคดีเนินอุโลก แหล่งโบราณคดีบ้านหลุมข้าว  และแหล่งโบราณคดีโนนวัด  อ. โนนสูง จ.นครราชสีมา คือ มีอายุในช่วงประมาณ 2,500 - 1,500 ปีมาแล้วซึ่งตรงกับสมัยเหล็ก (Iron Age)ในแถบนี้  
 แต่ในสภาพปัจจุบัน แหล่งโบราณคดีทุ่งผีโพน ไม่ได้รับการดูแลจากหน่วยงานใดเลย ถูกทิ้งให้รกร้าง ซึ่งครั้งหนึ่งในอดีตเคยถูกขุดเพื่อนำดินบนเนินดินลูกหนึ่งมาถมเพื่อสร้างถนนสาย 202 โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์  
ร่องรอยเนินดินที่ถูกขุด
ซึ่งหากหน่วยงานต่างๅ หรือชุมชนไม่เห็นความสำคัญ แหล่งโบราณคดีแห่งนี้คงจะถูกทำลายหรือเลือนหายไปตามกาลเวลาอย่างแน่นอน

วันเสาร์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

Pothole

   Pothole หรือ กุมภลักษณ์ เป็นปรากฏการณ์ตามธรรมชาติ
ที่มักจะเกิดขึ้นในบริเวณแก่ง  หรือฐานน้ำตกที่มีกระแสน้ำวน  หรือท้องธารน้ำ  หรืออย่างน้อยก็เคยเป็นพื้นที่เช่นนี้มาก่อน องค์ประกอบที่ทำให้เกิดรูรูปหม้อหรือกุมภลักษณ์ คือ  ท้องธารที่มีหินทราย  หินดินดานที่แข็ง  มีน้ำไหลผ่านที่รุนแรงความรุนแรงของกระแสน้ำจะพัดพาเอาเศษหิน, กรวด, เศษทรายเล็กเล็ก ๆ พัดมาตามลำน้ำ
เมื่อกระแสน้ำเดินทางมาถึงบริเวณที่เป็นผืนหินดานหรือพระ ลานหินจะเกิด การประทะขัดสีหรือขัดถูทำให้หินดินดานถูกกัดกร่อนกลายเป็นหลุมเป็นบ่อจากนั้นหลุมบ่อเหล่านี้จะค่อย ๆ ถูกหินและตะกอนขัดสีจนมีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ        
ซึ่งกระบวนการเหล่านี้ใช้เวลาหลายล้านปี หินเม็ดเล็ก ๆ ที่ขัดสี พื้นหินนั้นเรียกว่า หินลับ ( Grinder ) โดย กุมภลัษณ์นั้นจะมีขนาดและความลึกแตกต่างกันออกไป ตั้งแต่เส้นผ่านศูนย์กลาง 2 3 นิ้ว จนกระทั่ง หลายๆ ฟุต สำหรับประเทศไทยเราสามารถพบกุมภลักษณ์ได้ทั่วๆไปโดยเฉพาะที่ภาคอีสานจะพบมากที่สุด



วันอังคารที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2553

แคลิฟอร์เนีย จร้าา


รัฐแคลิฟอร์เนีย
California (ออกเสียง / kælɪfɔrnjə /) เป็นรัฐที่มีประชากรมากที่สุดในประเทศสหรัฐอเมริกา และมีพื้นที่ใหญ่เป็นอันดับที่สามคือ 411,049 ตารางกิโลเมตร. โดยมีขนาดรองจากอลาสกาและเท็กซัส     รัฐนี้ตั้งอยู่ในฝั่งตะวันตกของสหรัฐอเมริกา, มีอาณาเขตติดต่อกับมหาสมุทรแปซิฟิกทางทิศตะวันตก และรัฐโอเรกอนทางทิศเหนือ, รัฐเนวาด้าทางทิศตะวันออกและทิศตะวันออกเฉียงใต้ และ รัฐ Baja California, ของประเทศเม็กซิโกในทางใต้   รัฐนี้ มีชื่อเล่นว่า "The Golden State" ซึ่งมีที่มาจากทุ่งหญ้าที่เปลี่ยนเป็นสีทองในฤดูแล้ง (ไม่เกี่ยวกับการตื่นทองที่เกิดขึ้นในรัฐแคลิฟอร์เนียในอดีตแต่อย่างใดนะจ๊ะ)
               ประวัติความเป็นมา
                 ในปี พ.ศ. 2312 สเปนได้ตั้งอาณานิคมขึ้นที่แคลิฟอร์เนีย คลอบคลุมพื้นที่ตั้งแต่เมื่องซานดิเอโกมาจนถึงเมืองซานฟรานซิสโก  ต่อมา อำนาจของสเปนสลายลงเมื่อแคลิฟอร์เนียได้เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของเม็กซิโก ในปี พ.ศ. 2365  และเมื่อเกิดสงคราม ระหว่างสหรัฐอเมริกา เม็กซิโก โดยที่ เม็กซิโกเป็นฝ่ายแพ้สงคราม จึงได้ยกดินแดนแคลิฟอร์เนียนี้ เป็นส่วยหนึ่งของสหรัฐอเมริกา ในวันที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2393 นับเป็น มลรัฐลำดับที่ 31
                 ลักษณะภูมิประเทศ
                แคลิฟอร์เนีย มีพื้นที่ 160,000 ตารางไมล์ (414,000 km2) ถ้าเป็นประเทศรัฐแคลิฟอร์เนีย จะเป็นประเทศที่มีพื้นที่มากเป็นอันดับที่ 59 ของโลก ในตอนกลางของรัฐแคลิฟอร์เนีย ตั้งอยู่กลางหุบเขาล้อมรอบด้วยภูเขา มีชายฝั่งทะเลทางทิศตะวันตก, เทือกเขาเซียร์ราเนวาด้า ทางทิศตะวันออก, เทือกเขา Cascade Range ในภาคเหนือและเทือกเขา Tehachapi ในภาคใต้ ที่ราบหุบเขาตอนกลางของรัฐเป็นพื้นที่ที่มีความสำคัญทางการเกษตรของแคลิฟอร์เนียและของประเทศ ผลผลิตทางการเกษตรจากบริเวณนี้มีมูลค่าประมาณหนึ่งในสามของอาหารของประเทศสหรัฐอเมริกา เลยทีเดียว
                     ที่ราบลุ่มที่สำคัญที่สุดของแคลิฟอร์เนียคือ  Sacramento - San Joaquin River Delta,    ส่วนทางเหนือเรียกว่า Sacramento Valley ทำหน้าที่เป็นต้นน้ำลำธารของแม่น้ำซาคราเมนโตในขณะที่ส่วนทางใต้, San Joaquin Valley เป็นลุ่มน้ำสำหรับแม่น้ำ San Joaquin River    แม่น้ำที่ว่านี้ยังมีความลึกพอที่จะใช้เป็นเส้นทางเดินเรือที่สำคัญและมีเมืองท่าเรือในแม่น้ำทั้งสองนี้หลายเมือง
                  เทือกเขา Sierra Nevada (ภาษาสเปน แปลว่า"snowy range") มียอดสูงๆติดอันดับของประเทศมากถึง สี่สิบแปดยอด, ยอดเขา Whitney, เป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในรัฐนี้ คือ 14,505 ฟุต (4,421 เมตร)       นอกจากนี้ยังมี ทะเลทรายโมฮาวี (Mojave Desert) ตั้งอยู่ทางใต้ของรัฐแคลิฟอร์เนียด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือของนครลอสแอนเจลิส มีเนื้อที่ประมาณ 39,000 ตารางกิโลเมตร ทะเลทรายโมฮาวีมีภูเขาล้อมรอบโดยทิศเหนือและทิศตะวันตกเป็นเทือกเขาเซียร์ราเนวาดา ทิศตะวันออกเฉียงใต้เชื่อมต่อกับทะเลทรายโคโลราโด พื้นทะเลทรายเป็นหินชั้นอุดมด้วยแร่ธาตุต่างๆ
มีฝนตกเพียงปีละ 115 มิลลิเมตร  นอกจากนี้ก็มีจุดที่มีอุณหภูมิทั่วไปร้อนที่สุดในทวีปอเมริกาเหนือที่อุทยานแห่งชาติ
Death Valley ซึ่งก็เป็นจุดที่ต่ำที่สุดของประเทศสหรัฐอเมริกาด้วยในบริเวณที่เรียกว่า Badwater Basin    

              ลักษณะทางด้านเศรษฐกิจ

                        แคลิฟอร์เนียรัฐเดียวผลิตผลิตภัณฑ์มวลรวม มีจำนวน ถึง 14% ของประเทศสหรัฐอเมริกาทั้งหมด และเป็นมลรัฐที่ผลิตได้มากเป็นอันดับหนึ่ง ถ้าลองมองว่าแคลิฟอร์เนียแยกเป็นประเทศอิสระ จะเป็นประเทศที่มีผลิตภัณฑ์มวลรวมสูงเป็นอันดับ 6 ของโลก ถัดจากประเทศฝรั่งเศส ภาคเกษตรกรรมเป็นอาชีพที่สำคัญที่สุดพืชเศรษฐกิจที่สำคัญเช่น ส้ม ซึ่งปลูกได้มากที่สุดของประเทศ  ดอกไม้ ฝ้าย มันฝรั่ง หญ้าแห้ง และ สตรอเบอรี่ และธุรกิจที่เกี่ยวกับปริโตรเลียม ที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 ของประเทศ  ตามมาด้วยอวกาศยาน และธุรกิจบันเทิง และธุรกิจเกี่ยวกับเทคโนโลยีที่กำลังเติบโตในย่านซิลิคอนวัลเลย์
                     เมืองสำคัญ
                         ลอสแอนเจลิส (Los Angeles) หรือที่รู้จักในชื่อ แอลเอ (L.A.) เป็นเมืองใหญ่ที่มีประชากรมากที่สุดอันดับ 2 ในสหรัฐอเมริกา และเป็นหนึ่งในศูนย์กลาง ทางด้าน เศรษฐกิจ
วัฒนธรรม และการบันเทิง ลอสแอนเจลิสตั้งอยู่ในมลรัฐแคลิฟอร์เนีย และเริ่มตั้งเป็นเมืองเมื่อวันที4 เม.ย. 2393 (ค.ศ. 1850) ในขณะที่มีประชากร 1,610 คน     ในปี พ.ศ. 2543  ตามสำมะโนประชากรลอสแอนเจลิส มีประชากรประมาณ 4 ล้านคนในเขตตัวเมือง และเขตรอบนอกประมาณ 17.5 ล้านคน ลอสแอนเจลิสได้ชื่อว่าเป็นเมืองที่มีการปะปนของวัฒนธรรมมากที่สุดในโลก เนื่องจากการอพยพของคนหลายเชื่อชาติ เนื่องจากลักษณะของอากาศที่อบอุ่นสบาย และลักษณะการเป็นอยู่ต่างๆ เหมาะสมในการตั้งถิ่นฐาน  ชื่อเมืองลอสแอนเจลิส (Los Angeles  มาจากคำว่า โลสอังเคเลส ในภาษาสเปน หมายถึง เทวดาหลายองค์เป็นรูปพหูพจน์ของคำว่า el ángel ซึ่งเป็นเพศชาย ซึ่งชื่อเมืองนั้นมีความหมายว่า "เมืองแห่งเทพ" เช่นเดียวกับ กรุงเทพมหานครของเราลอสแอนเจลิส ได้เป็นที่รู้จักในชื่อของที่ตั้งของ ฮอลลีวูด และปลายทางของถนนสายประวัติศาสตร์ รูท 66   มหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงที่ตั้งอยู่ในลอสแอนเจลิส ได้แก่ มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ลอสแอนเจลิส (UCLA) อิอิ....   และ มหาวิทยาลัยเซาเทิร์นแคลิฟอร์เนีย (USC)    ทีมกีฬาที่มีชื่อเสียงในเมืองได้แก่ ลอสแอนเจลิส เลเกอร (บาสเกตบอล) ลอสแอนเจลิส คลิปเปอรส์ (บาสเกตบอล) ลอสแอนเจลิส ดอดจ์เจอรส์ (เบสบอล) ลอสแอนเจลิส คิงส์ (ฮอกกี้น้ำแข็ง) ลอสแอนเจลิส แกแลกซี (ฟุตบอล) ซี.ดี. ชีวาส ยูเอสเอ (ฟุตบอล) นอกจากนี้ในเมืองลอสแอนเจลิส ได้เคยเป็นเจ้าภาพจัดงานโอลิมปิก สองครั้ง ในปี พ.ศ. 2475 (ค.ศ. 1932) และ พ.ศ. 2527 (ค.ศ. 1984) ในอดีตมีทีมอเมริกันฟุตบอลในชื่อ "ลอสแอนเจลิส เรดเดอรส์" ซึ่งปัจจุบันได้ย้ายไปไปประจำเมือง โอกแลนด์ และเปลี่ยนชื่อเป็น โอกแลนด์ เรดเดอรส์ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2538
ฮอลลีวูด (อังกฤษ: Hollywood)    เป็นชื่อเขตในนครลอสแอนเจลิส มลรัฐแคลิฟอร์เนีย เหมือนกับเป็นถนนหรือเขตหนึ่งเท่านั้น ตั้งอยู่ทางตะวันตกถึงตะวันตกเฉียงเหนือของศูนย์กลางนครลอสแอนเจลิส  เนื่องจากว่าฮอลลิวูดนั้นมีชื่อเสียงและมีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมในฐานะที่เป็นศูนย์กลางแห่งประวัติศาสตร์ของโรงถ่ายทำภาพยนตร์ และดาราภาพยนตร์ที่มีชื่อเสียงระดับโลก ดังนั้น ชื่อของฮอลลีวูดจึงมักจะถูกเรียกเป็นชื่อแทนของโรงภาพยนตร์แห่งสหรัฐอเมริกาอีกด้วย ทุกวันนี้มีอุตสาหกรรมภาพยนตร์จำนวนมากที่ได้แพร่กระจายไปรอบๆพื้นที่ของแคลิฟอร์เนียและทางตะวันตกของนครลอสแอนเจลิส แต่อุตสาหรรมภาพยนตร์หลักๆที่สำคัญไม่ว่าจะเป็นการตัดต่อ การใส่เทคนิคพิเศษ ผู้สนับสนุน การผลิตขั้นสุดท้าย และบริษัททางด้านแสงประกอบ ยังคงอยู่ในฮอลลีวูด  โรงละครสำคัญๆ ทางประวัติศาสตร์ของฮอลลีวูดหลายแห่งถูกใช้เป็นสถานที่ชุมนุมและเวที คอนเสิร์ตในงานเปิดตัวสำคัญๆระดับยักษ์ใหญ่ของโลกและยังเป็นเจ้าภาพในการ    ประกาศรางวัลอะคาเดมี่อวอร์ด หรือ ที่เรียกกันติดปากว่ารางวัลออสการ์นั่นเอง   ฮอลลีวูดเป็นสถานที่ที่คนทั่วโลกต้องการมาเยือนทั้งนักผจญราตรีและนักท่องเที่ยวทั้งหลาย และยังเป็นที่ตั้งของถนนฮอลลีวูดวอล์กออฟเฟม (Hollywood Walk of Fame) ที่มีชื่อเสียงอีกด้วย
  ซานฟราน
ซิสโก หรือ แซนแฟรนซิสโก (San Francisco) คือเมืองในรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา มีประชากร ประมาณ 808,976 คนซึ่งเป็นเมืองที่มีความหนาแน่นประชากรเป็นอันดับสองของประเทศ เมืองซานฟรานซิสโกตั้งอยู่บริเวณอ่าวซานฟรานซิสโก ชาวยุโรปกลุ่มแรกที่มาตั้งรกรากในซานฟรานซิสโกคือชาวสเปน โดยในปี ค.ศ. 1776 เมืองมีชื่อว่า เซนต์ฟรานซิส (St. Francis) ในภายหลังจากช่วงยุคตื่นทองในปี ค.ศ. 1848 ทำให้ประชากรในซานฟรานซิสโกเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และเมืองเติบโตอย่างมาก ถึงแม้ว่าซานฟรานซิสโกจะประสบปัญหา แผ่นดินไหวและไฟไหม้ขนาดใหญ่ในช่วงปี ค.ศ. 1906 ซานฟรานซิสโกกลับฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว และได้ชื่อว่าเป็นเมืองสำคัญเมืองหนึ่งในแถบชายฝั่งตะวันตกของประเทศ     ซานฟรานซิสโกมีลักษณะภูมิประเทศที่เป็นเขา และมีชายฝั่งติดกับมหาสมุทรแปซิฟิก สัญลักษณ์ที่ขึ้นชื่อของเมืองซานฟรานซิสโกได้แก่ สะพานโกลเดนเกต และแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงได้แก่ เกาะอัลคาทราซ รถรางซานฟรานซิสโก Pier 39 และ ถนนลอมบาร์ด ทีมกีฬา อเมริกันฟุตบอล ที่สำคัญได้แก่ ซานฟรานซิสโก 49ers เป็นเมืองเศรษฐกิจที่มีขนาดใหญ่ และชาวเอเชียอาศัยที่อ่าวซานฟรานซิโกเป็นจำนวนมาก (ชาวไทยก็เยอะครับ)
                 แซน ดีเอโก หรือ ซาน ดีเอโก (อังกฤษ : San Diego) เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสองของรัฐแคลิฟอร์เนีย และอันดับที่9 ในสหรัฐอเมริกา มีประชากรโดยประมาณ 1,279,329 คนในปี 2008 เมืองชายฝั่งนี้ตั้งอยู่ใน San Diego County ซึ่งอยู่ใกล้กับจุดศูนย์กลางทางเศรษฐกิจอย่างเมือง San Marcos   จากการสำรวจของ Forbes เมืองซานดิเอโกนี้ก็อยู่อันดับ 5 ในเมืองที่รวยที่สุดในสหรัฐ อุตสาหกรรมหลักของซานดิเอโกคือ หัตถกรรม , การทหาร, และการท่องเที่ยว   San Diego เป็นเมืองชายฝั่งตอนใต้ของ California ซึ่งมีบรรยากาศดี หาดทรายที่สวยงาม และแวดล้อมไปด้วยสถานที่ท่องเที่ยวมากมาย อยู่ห่างจากเมือง Los Angeles แค่ 2 ชั่วโมง มีสภาพอากาศอบอุ่นตลอดทั้งปี ช่วงที่
ร้อนที่สุดเป็นช่วงปลายหน้าร้อน และช่วงต้นของฤดูใบไม้ร่วง ผู้คนในเมือง San Diego มีวัฒนธรรมที่หลากหลาย และเปี่ยมไปด้วยศิลปะ ซึ่งจะเห็นได้จากสิ่งก่อสร้าง เช่น San Diego Opera สถานที่เก็บศิลปะหายาก พิพิธภัณฑ์ โรงละคร La Jolla และอื่นๆอีกมากมายเนื่องจากเป็นเมืองชายฝั่งทะเล และเมืองท่าที่มีความสวยงาม แต่ละปีมีนักท่องเที่ยวหลั่งไหลเข้ามาท่องเที่ยวที่แห่งนี้ สถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆ  เช่น Balboa Park, San Diego Zoo และ Gaslamp Quarter
         แซนโฮเซ (San Jose) คือ เมืองใหญ่ที่สุดในย่านเบย์แอเรีย ในเขตแซนตาคลาราเคาน์ตีของรัฐแคลิฟอร์เนีย อยู่ทางตอนใต้ของแซนแฟรนซิสโก ราว 50 ไมล์ และอยู่ทางตอนเหนือของลอสแอนเจลิส  ราว 390 ไมล์ เป็นเมืองขนาด
ใหญ่เป็นอันดับ 3 ในรัฐแคลิฟอร์เนีย รองจากลอสแอนเจลิสและแซนดีเอโก   เมืองนี้ เป็น ศูนย์กลางแหล่งไอที หรือที่คนที่นี่เรียกกันว่า the capital of Silicon Valleyซึ่งเป็นแหล่งรวมของบริษัทด้านเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ เช่น Yahoo, Oracle, Sun, Cisco และอื่นๆ อีกนับไม่ถ้วน กว่า 6,600 แห่ง อันประกอบด้วยคนหัวกะทิด้านไอทีจำนวนมากของโลกมารวมอยู่ในที่เดียวกัน
 แซคราเมนโต (อังกฤษ: Sacramento) เป็นเมืองหลวงของรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา ตั้งอยู่ในแซคราเมนโตเคาน์ตี้ บริเวณแม่น้ำแซคราเมนโตและแม่น้ำอเมริกัน เป็นเมืองที่ใหญ่เป็นอันดับที่ 7 ของรัฐแคลิฟอร์เนีย  เมืองซาคราเมนโต้นี้เป็นเมืองหลวงของมลรัฐแคลิฟอร์เนีย (อย่าเข้าใจผิดคิดว่าเป็นมหานครลอสแอนเจอลีสเป็นอันขาด) ปัจจุบันมีประชากรประมาณ 9 ล้านคน ก่อตั้งเป็นเมืองเมื่อปี ค.ศ.1839 โดยนาย จอห์น ซัตเตอร์ ชาวสวีส กับเจมส์ ดับบยู มาแชลล์ ในช่วงระยะเวลาดังกล่าวเกิดการ ตื่นทอง กันขึ้นในบริเวณดังกล่าว ในขณะนั้นเมืองซาคราเมนโต้เป็นจุดการค้าที่ใหญ่โต อีกทั้งยังเป็นจุดขนถ่ายสินค้าไปยังเมืองต่างๆ อีกและยังเป็นศูนย์สินค้าทางด้านการเกษตร จึงเป็นจุดรวมของการพัฒนาจนกลายเป็นเมืองหลวงในที่สุด
หาก เรามองดูสภาพของซาคราเมนโต้ในปัจจุบัน ก็คงจะเหมือนกับเมืองหลวงหลายๆแห่งของสหรัฐอเมริกา ที่ผู้คนยังคงมีเงินทองในการจับจ่ายใช้สอยกันอย่างคล่องตัว เพราะส่วนมากเป็นข้าราชการ หรือทำมาหากินกับกระทรวงทบวงกรมต่างๆ

วันพุธที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2553

บทกลอนให้กำลังใจ


การหยั่งรากลึกตื้นเพื่อยืนต้น       ต้องยาวนานอดทนต้องฟันฝ่า
กว่าชีวิตจะรอดมีเป็นชีวา สง่างามตามตาเต็มดวงใจ




ไม่โอนเอียงอ่อนโอนให้โค่นล้ม     แม้ต้องใบขวานคมเป็นแผลใหญ่
ก็ยังคงยืนหยัดระบัดใบ   ไม่ให้ใครยุ่งยากมาลากซุง



ม่ใช่พืชล้มลุกพันธ์ไม้เลื้อย        ไม่ลื่นไหลไปเรื่อยพันกันยุ่ง
ไม่ใช่เจ๊กลากไปไทยลากมุง         ทว่ามีหมายมุ่งที่มั่นยืน




เราคือความสดชื่นไม้ยืนต้น         เราคือคนยืนตนมิเป็นอื่น
เราคือป่าแห่งฝันแห่งวันคืน        ผู้ยังลืมตาตื่นตลอดมา



เรายืนตนยืนตามความถูกต้อง       ด้วยน้ำเนื้อทำนองมีคุณค่า
                     ใบไม้ร่วงลับหายกับสายตา         แต่ต้นโตเต็มกล้ายังผลัดใบ

                                                                       บทกลอนให้กำลังใจของ  คุณจิรนันนท์  พิตรปรีชา   ครับ ..